ตอนนี้เหตุการณ์ทางการเมืองก็คงเลยการนองเลือดไปแล้ว [เขียนวันที่ 26 พฤศจิกายน] คำทำนายของโหรทั้งหลายก็ผิดพลาดไปอีกครั้งหนึ่ง แต่การทำนายผิดกับโหรเป็นของคู่กัน
สำหรับคำทำนายของพระอภิญญานี่
ก็กลายเป็นหอกเข้าไปแทงยอดอกของพระอภิญญาปลอมทั้งหลาย
เหตุการณ์การเมืองในวันนี้ยังไม่ยุติ
แต่เมื่อพิจารณาดูบทบาทของฝ่ายตำรวจแล้ว ตำรวจคงไม่กล้าออกมาปราบผู้ชุมนุม ฝ่ายทหารยิ่งเงียบกริบ ดังนั้นเหตุการณ์นองเลือดอย่างที่มีการทำนายกัน
จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น
พอดีกำลังวิพากษ์วิจารณ์เว็บของนวกาพรหม แล้วไปอ่านพบ “พยากรณ์ดวงเมืองไว้ 10
ยุค” จึงเอามาเผยแพร่ต่อ
พยากรณ์ดวงเมือง 10 ยุค นี้ ผมอ่านมานานแล้ว ไม่กล้ายืนยันว่า พยากรณ์ดวงเมือง
10 ยุคจะมีการตีความออกไปขนาดไหน เมื่อไหร่หาต้นฉบับพบ
ก็จะนำมาเผยแพร่กันอีกทีหนึ่ง
ดวงเมืองที่เหล่าโหราจารย์ตั้งไว้สมัยแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์
คือวันที่ 1 เมษายน 2325 ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล
พยากรณ์ดวงเมืองไว้ 10
ยุค ดังต่อไปนี้
1.
มหากาฬ
อยู่ในรัชกาลที่
1 สู้ศึกสงคราม รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง
สถานการณ์ในยุคนี้เรียกว่า "มหากาฬ" เพราะเมื่อปราบดาภิเษกก็ต้องเสด็จออกปราบปรามความไม่สงบทั้งภายนอกภายใน
ทรงทำศึกสงครามกับพม่าอีกหลายครั้งทรงยกทัพไปตีเมืองทะวายเป็นต้น
จำต้องประกาศกฏสำคัญเช่น กฏปราบกบฏ กฏมณเทียรบาล กฏอัยการศึก เกิดอุบัติการณ์ที่น่าหวาดเสียวมาก
ผู้ทำนายจึงเรียกเหตุการณ์บ้านเมืองยุคนี้ว่า
"มหากาฬ"
2.ภาณยักษ์
รัชกาลที่
2 พ.ศ. 2363 ได้เกิดโรคอหิวาตกโรค ระบาด อย่างร้ายแรงในพระนครหลวง ชีวิตมนุษย์ต้องล้มหายตายจากไปวันละมากๆ
ตามป่าช้าวัดสระเกศ
วัดสังเวช วัดบพิตรพิมุข ฯลฯ เนืองนองไปด้วยซากศพของผู้เสียชีวิต ตามลำน้ำลำคลอง
ซากศพมนุษย์ลอยฟ่องจนใช้น้ำรับประทานไม่ได้
กลิ่นซากศพกระจายไปทุกแห่งหน
ตามถนนหนทางเงียบสงัด หาผู้คนเดินแทบไม่พบ
เพราะต่างก็พากันหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน
ด้วยเกรงโรคร้ายจะติด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ทำพิธียิงปืนใหญ่
รอบกำแพงพระมหาราชวัง 1 คืน นำพระแก้วมรกต
และพระบรมธาตุ
ออกแห่แหนให้วัดต่างๆ ทำพิธีสวด "ภาณยักษ์"
เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร
อันเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ
โรคนี้ระบาดอยู่เกือบ
2 เดือน มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 หมื่นคน ในยุคนี้จึงเรียกว่า
"ยุคภาณยักษ์"
3.รักบัณฑิต
ล่วงเข้ารัชกาลที่
3 ผู้คนนิยมแต่งโคลงกลอน เพลงยาวมีกวีสำคัญที่มีชื่อเสียง คือ
สุนทรภู่ และเมืองไทยได้ทำความสัมพันธ์ไมตรีกับนาๆ
ประเทศ เช่น พ.ศ. 2367 ประเทศไทยได้ประกาศสงครามเข้าข้างอังกฤษรบกับพม่า
กองทัพไทยได้เคลื่อนเข้าตีเขตแดนรามัญ
ครั้น พ.ศ. 2369 อังกฤษได้ส่งกัปตันเฮนรี่ เบอร์นี่ เป็นทูตเข้าเฝ้า
ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี
และในปี
พ.ศ. 2376 เอส.โรมัน โรเบิร์ต ชาวอเมริกันก็ได้ถือสาสน์ของประธานาธิบดีคนที่ 7
ของสหรัฐอเมริกา นายแอนดรูว์ แจ๊คสัน
เข้ามาขอทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับไทย
เป็นยุคของ "รักบัณฑิต"
4.สนิทธรรม
รัชกาลที่ 4
ทรงโปรดการปฏิบัติธรรม
ทรงฝักใฝ่ทางศาสนาถึงกับได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลานาน 27 ปี ก่อนขึ้นครองราชย์
ทรงสร้างวัดธรรมยุตินิกายขึ้นเป็นจำนวนมาก ได้มีการติดต่อกับบรรดานานาชาติในยุโรปและทรงนำวัฒนธรรมของยุโรปเข้ามาดัดแปลงใช้ในไทย
ยุคนี้จึงเป็นสมัยที่เรียกว่า
"สนิทธรรม"
5.จำแคว้นขาด
เมืองไทยต้องเผชิญกับอุปสรรคร้ายแรงจากการแผ่อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ที่พยายามล่าเมืองไทยให้เป็นเมืองขึ้น
ฝรั่งเศสกับอังกฤษพยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งยึดเอาประเทศไทยไปอยู่ใต้อำนาจร่มธงของเขาให้ได้
ชาวไทยต้องน้ำตาตก เพราะผืนแผ่นดินเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทย ต้องถูกเชือดเฉือนไปมากมาย
รัชกาลที่ 5
ต้องยอมสละดินแดนบางส่วนให้ชนต่างชาติที่รุกราน เพื่อเอกราชและสันติสุขของประเทศชาติ
6.ราษฎรจน
รัชกาลที่ 6
ประเทศชาติเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่
1 บ้านเมืองเดือดร้อนไปทั่วทุกประเทศคู่สงคราม ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำลง
ข้าวยากหมากแพง
ผู้คนยากจน ประชาชนเริ่มเผชิญกับความเดือดร้อนเป็นสำคัญ
7.ชนร้องทุกข์
พอขึ้นรัชกาลที่
7 บ้านเมืองได้เริ่มระส่ำระสาย กระแสของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบใหม่เริ่มเข้ามาในเมืองไทย ผู้คนกล้าแสดงออกมากขึ้นจึงเป็นยุคของ
"ชนร้องทุกข์"
แม้แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ยังรับสั่งว่า
ฉันเกิดมาในสมัยที่ม่านจวนจะรูดอยู่แล้ว
ความเดือดร้อนของพลเมืองได้เป็นไปอย่างหนักด้วย
ความตกต่ำของเศรษฐกิจ
จนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร์ล้มระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายลงเปลี่ยนเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของชาติ
เป็นสมัยที่เรียกกันว่า ผู้ดีเดินตรอก
ขี้ครอกเดินถนน
กระเบื้องเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าน้อยจะถอยจม
8.ยุคทมิฬ
สงครามโลกครั้งที่
2 เกาะฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่นถูกระเบิดปรมาณูผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก นับเป็นการเข่นฆ่าด้วยอาวุธสงครามที่ร้ายแรงที่สุด
และในประเทศไทยครั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ
ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
เวลาต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองได้ย่างเข้าสู่ความมืดมนยิ่งขึ้น
เกิดการกบฏจลาจลอยู่เนืองๆ มีการประหารชีวิตผู้ต้องหาทางการเมือง
ในระยะหลังประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะสงคราม ประชาชนพลเมืองประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส
ค่าครองชีพสูงลิ่ว
นักการเมืองกอบโกยฉ้อราษฎร์บังหลวง และในที่สุดแม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
8 ยังถูกลอบปลงพระชนม์อย่างลึกลับ
ยุคนี้จึงตรงกับคำทำนายว่าเป็น
"ยุคทมิฬ" อย่างสมเหตุสมผลทุกประการ
9.ถิ่นกาขาว
รัชกาลที่
9 ก่อน
พ.ศ. 2500 ประเทศชาติพัฒนาเข้าสู่อารยชน
เป็นยุคที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับนานาชาติเป็นอย่างดี
ดังปรากฏที่มีชนชาติต่างๆ
เข้ามาตั้งสำนักงานองค์การช่วยเหลือระหว่างประเทศ และเป็นสมัยที่คนไทยพากันแตกตื่นไปเล่าเรียนวิชาการ
คณะผู้แทนราษฎรมีโอกาสเดินทางไปเปิดหูเปิดตายังต่างประเทศกันเป็นกลุ่มๆ
เข้าสู่ยุคสังคมสื่อสาร
ประชาชนทำธุรกิจไร้พรมแดน บริษัทข้ามชาติเข้ามามีอิทธิพลมากมายถึงกับเรียกว่าเป็นยุคโลกาภิวัฒน์
มีการเปิดเสรีด้านการเงิน ความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นการนำแบบแผนกับเทคโนโลยีของชาวตะวันตกเข้ามาเผยแพร่
เป็นยุคที่ผู้คนใช้การเมืองเป็นธุรกิจ เปิดธุรกิจผูกขาด พาณิชย์การเมือง ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ตัดไม้ทำลายป่าจนประเทศไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้แก่ต่างชาติ
จนถึงหลัง
พ.ศ. 2500 เศรษฐกิจเป็นฟองสบู่แตก เกิด 3
ภัย 8 ทุกข์
คือ
ภัยเศรษฐกิจ
คือเงินไร้ค่า ข้าวยากหมากแพง ธุรกิจล้มละลาย ประชาชนเป็นหนี้เป็นสินผู้คนไร้อาชีพการงาน
ภัยโรคร้าย คือ
โรคเอดส์ และ ยาเสพติดภัยธรรมชาติ ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นหมู่ ๆ เช่นน้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้
แก๊สระเบิด
3
ภัย 8 ทุกข์ แท้ที่จริงต้องไปสิ้นสุดในปีพ.ศ. 2546 ก่อนสิ้นสุดสามปีสุดท้าย คือนับแต่เดือนกรกฎาคม 2542 -
สิ้นปี 2546 จะเกิดภัยพิบัติกวาดล้างมนุษยชาติตามจุดต่างๆ
ของโลก
แผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกี และประเทศไต้หวัน เครื่องบินตกถี่ ๆ ภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ในหลายประเทศ
ตามที่ผู้รู้พยากรณ์ว่า.....
จะต้องสูญเสียประชากรของโลก 1 % คือ 60
ล้านคน ทั้งนี้เพราะแกนของโลกเอียง พลังสนามแม่เหล็กโลกเพิ่มมากขึ้นทำให้หลักศาสนจักร อาณาจักร
ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่วางหลักกันไว้
ความวิบัติจึงเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม
ไม่สามารถข้ามพ้นเข้าสู่ยุคที่
10.ชาวศิวิไล
ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า
ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างผาสุข มีวัฒนธรรมอันดี เป็นยุคของ "ชาววิไล"
ที่บอกว่าเป็นยุคแห่งสันติภาพ และในศาสนาคริสต์บอกว่าเป็นยุคแห่งแผ่นดินโลกใหม่ เป็นแผ่นดินความชอบธรรมดำรงอยู่ได้
แต่ฟ้ายังปราณี..............ทำให้ดาวพฤหัสบดีพักเสริดและดาวเสาร์เดินโคจรเร็วขึ้น
3 ปี
และในวันที่ 5
เดือน 5 ค.ศ.
2000 นี้เหล่าดวงดารามาเรียงรายกันเป็นแนวเดียวกัน 9 ดวง
ดาวเสาร์เดินเร็วขึ้นอีก 12
ชั่วโมงวิกฤตพลิกผันเป็นโอกาส ทำให้ 3
ภัย 8 ทุกข์สามารถคำนวณให้สิ้นสุดได้
ประเทศชาติถูกคำนวณเข้าสู่ อนาตรงโดยอาศัยเหล่าดวงดาราที่เรียงรายดังนี้
พลูโต เนปจูน
อังคาร ยูเรนัส จันทร์
โลก พฤหัส ศุกร์
พุธ อาทิตย์ เสาร์ ถอดเงื่อนสลักแห่งศาสนจักร อาณาจักร
ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อที่จะได้เข้าสู่ยุคชาวศิวิไลต่อไป
และในวันที่เหล่าดวงดาวเรียงรายเป็นแนวตรงดิ่งได้ทำการเคลื่อนเข้าสู่รัตนจักรอนาตรง
ตามโองการนวกาพรหม นามแม่กาเผือกเป็นผลให้ศาสนจักร อาณาจักร
พุทธจักร มรรคผล นิพพานเป็นหนึ่งเดียว
การตีความครั้งนี้ คงไม่ถูกต้องไปทั้งหมด แต่ก็ทำให้มีกำลังใจว่า
ประเทศเราคงจะเข้าสู่ยุค “ชาวศิวิไล” แล้ว
ขอให้มีกำลังใจในการทำงาน ประกอบอาชีพ สร้างสรรค์คุณงามความดีกันต่อไป
ผมว่ายังนะครับ นี่ยังอยู่ในยุคถิ่นกาชาวอยู่
ตอบลบเพราะ
- ยังอยู่ในรัชสมัย ร.๙ อยู่
- พวกกาขาว กาฝาก (นายทุนต่างชาติ) ที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคถิ่นกาขาว ยังคงเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ ยังไม่ได้ถูกกำจัด ต้องกำจัดมันเสียก่อน ประเทศไทยจึงจะเจริญได้
ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ