Adssense

บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ดวงเมือง 10 ยุค


ตอนนี้เหตุการณ์ทางการเมืองก็คงเลยการนองเลือดไปแล้ว [เขียนวันที่ 26 พฤศจิกายน]  คำทำนายของโหรทั้งหลายก็ผิดพลาดไปอีกครั้งหนึ่ง แต่การทำนายผิดกับโหรเป็นของคู่กัน

สำหรับคำทำนายของพระอภิญญานี่  ก็กลายเป็นหอกเข้าไปแทงยอดอกของพระอภิญญาปลอมทั้งหลาย

เหตุการณ์การเมืองในวันนี้ยังไม่ยุติ แต่เมื่อพิจารณาดูบทบาทของฝ่ายตำรวจแล้ว ตำรวจคงไม่กล้าออกมาปราบผู้ชุมนุม  ฝ่ายทหารยิ่งเงียบกริบ  ดังนั้นเหตุการณ์นองเลือดอย่างที่มีการทำนายกัน จึงไม่น่าจะเกิดขึ้น

พอดีกำลังวิพากษ์วิจารณ์เว็บของนวกาพรหม แล้วไปอ่านพบ “พยากรณ์ดวงเมืองไว้ 10 ยุค”  จึงเอามาเผยแพร่ต่อ

พยากรณ์ดวงเมือง 10 ยุค นี้ ผมอ่านมานานแล้ว ไม่กล้ายืนยันว่า พยากรณ์ดวงเมือง 10 ยุคจะมีการตีความออกไปขนาดไหน เมื่อไหร่หาต้นฉบับพบ ก็จะนำมาเผยแพร่กันอีกทีหนึ่ง

ดวงเมืองที่เหล่าโหราจารย์ตั้งไว้สมัยแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ คือวันที่ 1 เมษายน  2325  ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล

พยากรณ์ดวงเมืองไว้  10  ยุค  ดังต่อไปนี้

1. มหากาฬ 
อยู่ในรัชกาลที่ 1  สู้ศึกสงคราม  รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นมั่นคง สถานการณ์ในยุคนี้เรียกว่า "มหากาฬ" เพราะเมื่อปราบดาภิเษกก็ต้องเสด็จออกปราบปรามความไม่สงบทั้งภายนอกภายใน

ทรงทำศึกสงครามกับพม่าอีกหลายครั้งทรงยกทัพไปตีเมืองทะวายเป็นต้น จำต้องประกาศกฏสำคัญเช่น กฏปราบกบฏ กฏมณเทียรบาล กฏอัยการศึก เกิดอุบัติการณ์ที่น่าหวาดเสียวมาก

ผู้ทำนายจึงเรียกเหตุการณ์บ้านเมืองยุคนี้ว่า "มหากาฬ"

2.ภาณยักษ์ 
รัชกาลที่ 2  พ.ศ. 2363 ได้เกิดโรคอหิวาตกโรค ระบาด อย่างร้ายแรงในพระนครหลวง  ชีวิตมนุษย์ต้องล้มหายตายจากไปวันละมากๆ

ตามป่าช้าวัดสระเกศ วัดสังเวช วัดบพิตรพิมุข ฯลฯ เนืองนองไปด้วยซากศพของผู้เสียชีวิต ตามลำน้ำลำคลอง ซากศพมนุษย์ลอยฟ่องจนใช้น้ำรับประทานไม่ได้

กลิ่นซากศพกระจายไปทุกแห่งหน ตามถนนหนทางเงียบสงัด หาผู้คนเดินแทบไม่พบ  เพราะต่างก็พากันหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน  ด้วยเกรงโรคร้ายจะติด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ทำพิธียิงปืนใหญ่ รอบกำแพงพระมหาราชวัง 1 คืน นำพระแก้วมรกต  และพระบรมธาตุ  ออกแห่แหนให้วัดต่างๆ ทำพิธีสวด "ภาณยักษ์" เพื่อขับไล่เสนียดจัญไร  อันเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บ

โรคนี้ระบาดอยู่เกือบ 2 เดือน มีผู้เสียชีวิตกว่า 3 หมื่นคน ในยุคนี้จึงเรียกว่า "ยุคภาณยักษ์"

3.รักบัณฑิต 
ล่วงเข้ารัชกาลที่ 3  ผู้คนนิยมแต่งโคลงกลอน  เพลงยาวมีกวีสำคัญที่มีชื่อเสียง  คือ  สุนทรภู่  และเมืองไทยได้ทำความสัมพันธ์ไมตรีกับนาๆ ประเทศ เช่น พ.ศ. 2367 ประเทศไทยได้ประกาศสงครามเข้าข้างอังกฤษรบกับพม่า

กองทัพไทยได้เคลื่อนเข้าตีเขตแดนรามัญ ครั้น พ.ศ. 2369 อังกฤษได้ส่งกัปตันเฮนรี่ เบอร์นี่ เป็นทูตเข้าเฝ้า ทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี

และในปี พ.ศ. 2376 เอส.โรมัน โรเบิร์ต ชาวอเมริกันก็ได้ถือสาสน์ของประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐอเมริกา นายแอนดรูว์ แจ๊คสัน  เข้ามาขอทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับไทย  เป็นยุคของ  "รักบัณฑิต"

4.สนิทธรรม 
รัชกาลที่  4  ทรงโปรดการปฏิบัติธรรม  ทรงฝักใฝ่ทางศาสนาถึงกับได้ออกผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลานาน 27 ปี ก่อนขึ้นครองราชย์

ทรงสร้างวัดธรรมยุตินิกายขึ้นเป็นจำนวนมาก  ได้มีการติดต่อกับบรรดานานาชาติในยุโรปและทรงนำวัฒนธรรมของยุโรปเข้ามาดัดแปลงใช้ในไทย

ยุคนี้จึงเป็นสมัยที่เรียกว่า "สนิทธรรม"

5.จำแคว้นขาด 
เมืองไทยต้องเผชิญกับอุปสรรคร้ายแรงจากการแผ่อิทธิพลของประเทศมหาอำนาจตะวันตก  ที่พยายามล่าเมืองไทยให้เป็นเมืองขึ้น 

ฝรั่งเศสกับอังกฤษพยายามทุกวิถีทางที่จะแย่งยึดเอาประเทศไทยไปอยู่ใต้อำนาจร่มธงของเขาให้ได้  

ชาวไทยต้องน้ำตาตก  เพราะผืนแผ่นดินเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนไทย ต้องถูกเชือดเฉือนไปมากมาย

รัชกาลที่  5  ต้องยอมสละดินแดนบางส่วนให้ชนต่างชาติที่รุกราน  เพื่อเอกราชและสันติสุขของประเทศชาติ

6.ราษฎรจน 
รัชกาลที่  6  ประเทศชาติเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่  1 บ้านเมืองเดือดร้อนไปทั่วทุกประเทศคู่สงคราม  ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำลง

ข้าวยากหมากแพง ผู้คนยากจน  ประชาชนเริ่มเผชิญกับความเดือดร้อนเป็นสำคัญ

7.ชนร้องทุกข์ 
พอขึ้นรัชกาลที่ 7 บ้านเมืองได้เริ่มระส่ำระสาย กระแสของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองแบบใหม่เริ่มเข้ามาในเมืองไทย  ผู้คนกล้าแสดงออกมากขึ้นจึงเป็นยุคของ "ชนร้องทุกข์"

แม้แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ  ยังรับสั่งว่า  ฉันเกิดมาในสมัยที่ม่านจวนจะรูดอยู่แล้ว ความเดือดร้อนของพลเมืองได้เป็นไปอย่างหนักด้วย

ความตกต่ำของเศรษฐกิจ จนเกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร์ล้มระบอบกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายลงเปลี่ยนเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย  โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของชาติ

เป็นสมัยที่เรียกกันว่า  ผู้ดีเดินตรอก  ขี้ครอกเดินถนน  กระเบื้องเฟื่องฟูลอย  น้ำเต้าน้อยจะถอยจม 

8.ยุคทมิฬ
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกาะฮิโรชิมา  ประเทศญี่ปุ่นถูกระเบิดปรมาณูผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก  นับเป็นการเข่นฆ่าด้วยอาวุธสงครามที่ร้ายแรงที่สุด 

และในประเทศไทยครั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงตัดสินพระทัยสละราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

เวลาต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองได้ย่างเข้าสู่ความมืดมนยิ่งขึ้น เกิดการกบฏจลาจลอยู่เนืองๆ มีการประหารชีวิตผู้ต้องหาทางการเมือง

ในระยะหลังประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะสงคราม  ประชาชนพลเมืองประสบความทุกข์ยากแสนสาหัส ค่าครองชีพสูงลิ่ว 

นักการเมืองกอบโกยฉ้อราษฎร์บังหลวง  และในที่สุดแม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8  ยังถูกลอบปลงพระชนม์อย่างลึกลับ 

ยุคนี้จึงตรงกับคำทำนายว่าเป็น "ยุคทมิฬ" อย่างสมเหตุสมผลทุกประการ

9.ถิ่นกาขาว 
รัชกาลที่ 9  ก่อน  พ.ศ. 2500 ประเทศชาติพัฒนาเข้าสู่อารยชน  เป็นยุคที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับนานาชาติเป็นอย่างดี 

ดังปรากฏที่มีชนชาติต่างๆ เข้ามาตั้งสำนักงานองค์การช่วยเหลือระหว่างประเทศ และเป็นสมัยที่คนไทยพากันแตกตื่นไปเล่าเรียนวิชาการ คณะผู้แทนราษฎรมีโอกาสเดินทางไปเปิดหูเปิดตายังต่างประเทศกันเป็นกลุ่มๆ  

เข้าสู่ยุคสังคมสื่อสาร ประชาชนทำธุรกิจไร้พรมแดน บริษัทข้ามชาติเข้ามามีอิทธิพลมากมายถึงกับเรียกว่าเป็นยุคโลกาภิวัฒน์

มีการเปิดเสรีด้านการเงิน  ความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นการนำแบบแผนกับเทคโนโลยีของชาวตะวันตกเข้ามาเผยแพร่

เป็นยุคที่ผู้คนใช้การเมืองเป็นธุรกิจ  เปิดธุรกิจผูกขาด พาณิชย์การเมือง ฉ้อราษฎร์บังหลวง ตัดไม้ทำลายป่าจนประเทศไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้แก่ต่างชาติ

จนถึงหลัง พ.ศ.  2500  เศรษฐกิจเป็นฟองสบู่แตก เกิด  3  ภัย  8  ทุกข์  คือ
ภัยเศรษฐกิจ  คือเงินไร้ค่า  ข้าวยากหมากแพง ธุรกิจล้มละลาย  ประชาชนเป็นหนี้เป็นสินผู้คนไร้อาชีพการงาน

ภัยโรคร้าย  คือ  โรคเอดส์  และ  ยาเสพติดภัยธรรมชาติ  ที่คร่าชีวิตผู้คนเป็นหมู่ ๆ เช่นน้ำท่วมใหญ่  ไฟไหม้  แก๊สระเบิด

3 ภัย 8 ทุกข์  แท้ที่จริงต้องไปสิ้นสุดในปีพ.ศ.  2546 ก่อนสิ้นสุดสามปีสุดท้าย คือนับแต่เดือนกรกฎาคม  2542 -  สิ้นปี  2546 จะเกิดภัยพิบัติกวาดล้างมนุษยชาติตามจุดต่างๆ ของโลก

แผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกี  และประเทศไต้หวัน  เครื่องบินตกถี่ ๆ ภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ในหลายประเทศ

ตามที่ผู้รู้พยากรณ์ว่า..... จะต้องสูญเสียประชากรของโลก 1 % คือ  60 ล้านคน ทั้งนี้เพราะแกนของโลกเอียง  พลังสนามแม่เหล็กโลกเพิ่มมากขึ้นทำให้หลักศาสนจักร  อาณาจักร 
ไม่เป็นหนึ่งเดียวกันดังที่วางหลักกันไว้

ความวิบัติจึงเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม ไม่สามารถข้ามพ้นเข้าสู่ยุคที่
 
10.ชาวศิวิไล
ซึ่งเป็นยุคที่ประเทศชาติมีความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างผาสุข มีวัฒนธรรมอันดี เป็นยุคของ "ชาววิไล"

ที่บอกว่าเป็นยุคแห่งสันติภาพ  และในศาสนาคริสต์บอกว่าเป็นยุคแห่งแผ่นดินโลกใหม่   เป็นแผ่นดินความชอบธรรมดำรงอยู่ได้

แต่ฟ้ายังปราณี..............ทำให้ดาวพฤหัสบดีพักเสริดและดาวเสาร์เดินโคจรเร็วขึ้น 3 ปี
และในวันที่  5  เดือน  5  ค.ศ.  2000  นี้เหล่าดวงดารามาเรียงรายกันเป็นแนวเดียวกัน  9  ดวง

ดาวเสาร์เดินเร็วขึ้นอีก  12  ชั่วโมงวิกฤตพลิกผันเป็นโอกาส  ทำให้  3  ภัย  8  ทุกข์สามารถคำนวณให้สิ้นสุดได้

ประเทศชาติถูกคำนวณเข้าสู่  อนาตรงโดยอาศัยเหล่าดวงดาราที่เรียงรายดังนี้

พลูโต  เนปจูน  อังคาร  ยูเรนัส  จันทร์  โลก  พฤหัส  ศุกร์  พุธ  อาทิตย์  เสาร์ ถอดเงื่อนสลักแห่งศาสนจักร  อาณาจักร  ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อที่จะได้เข้าสู่ยุคชาวศิวิไลต่อไป

และในวันที่เหล่าดวงดาวเรียงรายเป็นแนวตรงดิ่งได้ทำการเคลื่อนเข้าสู่รัตนจักรอนาตรง ตามโองการนวกาพรหม  นามแม่กาเผือกเป็นผลให้ศาสนจักร  อาณาจักร  พุทธจักร  มรรคผล  นิพพานเป็นหนึ่งเดียว

การตีความครั้งนี้ คงไม่ถูกต้องไปทั้งหมด แต่ก็ทำให้มีกำลังใจว่า ประเทศเราคงจะเข้าสู่ยุค “ชาวศิวิไล” แล้ว 

ขอให้มีกำลังใจในการทำงาน ประกอบอาชีพ สร้างสรรค์คุณงามความดีกันต่อไป



1 ความคิดเห็น:

  1. ผมว่ายังนะครับ นี่ยังอยู่ในยุคถิ่นกาชาวอยู่

    เพราะ
    - ยังอยู่ในรัชสมัย ร.๙ อยู่
    - พวกกาขาว กาฝาก (นายทุนต่างชาติ) ที่เป็นสัญลักษณ์ของยุคถิ่นกาขาว ยังคงเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่ ยังไม่ได้ถูกกำจัด ต้องกำจัดมันเสียก่อน ประเทศไทยจึงจะเจริญได้

    ผมคิดว่าอย่างนั้นนะครับ

    ตอบลบ